รีวิว ฝ่า 7 นรกไปกับพระเจ้า 2
หนังภาคต่อจาก Along with the Gods : The Two Worlds ซึ่งภาคแรกทำไว้ยอดเยี่ยม ซึ้งน้ำตาท่วมจอ มาภาคนี้เดินเรื่องแทบจะต่อกันเลย เพราะดวงวิญญาณที่ต้องนำส่ง คือคนที่อยู่ในภาคแรก ดังนั้นควรไปดูมาก่อน เพื่อให้เข้าใจปมของตัวละครในเรื่องมากขึ้น
หนังปูพื้นอยู่พักใหญ่ ไม่ต่างจากภาคแรก แต่ภาคนี้ไม่ได้มีฉากแอคชั่นหวือหวาเท่าภาคแรกแล้ว ทำให้มีบางช่วงรู้สึกว่าดรอปจากภาคแรก แต่ก็ยังน่าติดตามอยู่ เพราะหนังค่อยๆทิ้งปมไว้ พร้อมกับยิงมุกตลกเป็นพักๆ ทำให้ไม่น่าเบื่อเลย
แง่คิดที่ได้จากหนังคมคาย และลึกซึ้งมากเลยทีเดียว เป็นภาคที่ชอบประเด็นที่หนังสอดแทรกมากๆ แม้จะเดินเรื่องเอื่อยๆ และพอเดาทางหนังได้ แต่ก็ยอมรับเลยว่าลำดับการเล่าของหนังถูกจัดสรรมาค่อนข้างดี และด้วยความที่บทหนังค่อนข้างแน่น แต่ใช้วิธีเล่าตัดสลับไปมา ช่วงปูพื้นเลยรู้สึกว่าบางช่วงเล่าช้าไปนิดนึง เพราะตัดไปเล่าเรื่องอื่น ก่อนเรื่องที่อยากรู้ต่อเนื่อง จนพอมาถึงจุดที่ปมทั้งหมดขมวดเลยพอเข้าใจได้ว่าทำไมหนังถึงเลือกที่จะเล่าแบบนี้
หนังเรื่องนี้จัดเป็นหนังอีกเรื่องที่ยอดเยี่ยมตามภาคแรกไปติดๆ ถ้าเคยดูและชอบภาคแรก ผมคิดว่าภาคนี้ก็ไม่ควรพลาดครับ ดูหนัง
เนื้อเรื่อง รีวิว ฝ่า 7 นรกไปกับพระเจ้า 2
เหตุการณ์ต่อเนื่องหลัง 3 ยมทูต คังลิม (ฮาจุงวู) เฮวอนเมก (จูจีฮุน) ดัคชุน (คิมฮยางกี) ตัดสินใจเดิมพันโอกาสเกิดใหม่ด้วยการพา คิมซูฮง (คิมดองวุก) วิญญาณอาฆาต (น้องชายคิมจาฮง ที่ได้ไปเกิดแล้ว) ฝ่าการพิพากษาของศาลนรกชั้นต่างๆเพื่อการเกิดใหม่ โดยทางราชันย์ยอมรา (อีจุงแจ) ยื่นข้อเสนอเพิ่มเติมให้ เฮวอนเมก กับ ดัคชุน ไปนำดวงวิญญานคนชราที่มีชีวิตเลยกำหนดเวลามาสู่การตัดสิน แต่นอกจากการมีหลานชายตัวน้อยที่ยังไม่พร้อมเผชิญโลกเพียงลำพังของดวงวิญญาที่สร้างความหนักใจแล้ว ยังมีเทพประจำตระกูล (มา ดงซอก)ที่ไม่ยอมปล่อยดวงวิญญาณ และยังเป็นผู้กุมความลับตอนเป็นมนุษย์ของ 3 ยมทูตที่อาจพลิกผันชะตาชีวิตของพวกเขาไปตลอดกาล.
แม้หนังภาคแรกจะเป็นที่ถกเถียงกันทั้งประเด็นชื่อไทยว่า ฝ่า 7 นรก แต่ไปดูจริงๆกลับไม่ถึง 7 ขุมเหมือนชื่อเรื่อง หรือจะเป็นกระแสคนดูที่อัดคลิปตัวเองร้องไห้ให้ฉากจบในหนังก็ตาม แต่ด้วยความสำเร็จและความชื่นชอบของคนดู ตัวหนังภาคสองเลยเข้าฉายแบบทันใจในวันนี้ ซึ่งจะว่าไปความลับของยมทูตที่หนังพยายามชูเป็นประเด็นสำคัญก็ดูน่าสนใจไม่น้อย ติดตรงที่เส้นเรื่องของหนังเองดันมีหลายเหตุการณ์ที่เดินขนานกันไปแล้วดันแย่งความเด่นกันเองได้แก่
เส้นเรื่องพาคิมซูฮงพิสูจน์ความบริสุทธิ์ ในส่วนนี้จะมีทั้งเหตุการณ์ย้อนอดีตในคืนเกิดเหตุปืนลั่นในหนังภาคแรก พร้อมการนำดวงจิตคนเป็นได้แก่เพื่อนทหารทั้งสองของเขามาพิจารณาคดีด้วย
และไม่รู้ว่าเพราะกลัวเรื่องจะเรียบเกินไปหรืออย่างไร ในส่วนนี้ได้มีภาพย้อนอดีตของ ยมทูตคังลิม เมื่อครั้งเป็นมนุษย์เพื่อเล่าถึงบาปกรรมของตนเข้ามาด้วย จนผลลัพธ์คือการเล่าเหตุการณ์ที่ซับซ้อน 2 เหตุการณ์สลับกัน และกินเวลานานพอสมควร จนเชื่อว่าลำพังเรื่องราวในส่วนแรกก็แทบแยกเป็นหนังอีกเรื่องได้อยู่แล้ว
ในส่วนถัดมาคือ เหตุการณ์ที่ เฮวอนเมก และ ดัคชุน ได้รับภารกิจไปพาดวงวิญญาณคนชราที่อยู่เกินอายุขัย มาสู่การพิจารณาในนรก แต่ถูกขัดขวางจาก เทพประจำบ้านจนไปๆมาๆพวกเขาต้องหาทางช่วยเหลือ หลานชาย ให้ได้รับการดูแลอย่างดี ก่อนพาดวงวิญญาณปู่เพียงคนเดียวไปสู่ปรโลก
โดยเหตุการณ์นี้จะตัดสลับกับเรื่องราวเมื่อครั้งยังเป็นมนุษย์ของทั้ง ดัคชุน และ เฮวอนเมก ที่มีทั้งความผิดบาปและความกล้าหาญของทั้งคู่ ซึ่งความซับซ้อนก็ไม่แพ้เรื่องราวในส่วนแรกเลย
หากมองในแง่ดีเรื่องราวใน Along With The Gods ภาคนี้ก็ทำให้เรื่องราวที่มาที่ไปของยมทูตกระจ่างดี ถ้าไม่ติดว่า มันแทบไม่ได้เสริมส่งกับเรื่องราวในเส้นเรื่องหลัก เลยทำให้คนดูที่กำลังติดตามชะตาชีวิตของ คิมซูฮง ที่อุตสาห์ลากมาจากภาคแรกเกิดอาการเซ็งได้ว่า ท้ายที่สุดเรื่องราวการพิพากษากลับแทบไม่ได้คืบหน้าไปกว่าคืนเกิดเหตุแถมการพิจารณาคดีก็ดูรวบรัดเพราะต้องแบ่งเวลาไปเล่าเรื่องอดีตชาติของยมทูตทั้งสามที่ยิ่งดูยิ่งไม่น่าสนใจชวนลำใยซะเปล่าๆ
ส่วนเรื่องราวปู่ที่ใกล้ตาย กับหลานชายที่ไร้เดียงสา ที่หนังกะให้ซึ้งแบบเรื่องราวแม่ของ 2 ดวงวิญญาณในภาคแรกก็ต้องถูกแบ่งเวลาไปเล่าอดีตชาติของ 2 ยมทูตจนปมดราม่าต่างๆไม่ทำงานอย่างที่ควรจะเป็นจนน่าเสียดาย.
ถึงแม้จะไม่ใช่คอหนังแอ็กชันพันธุ์แท้ แต่หลังจากดู Along with the Gods: The Last 49 Days ของผู้กำกับ คิมยงฮวา จบก็พอจะเข้าใจได้ว่าทำไมหนังการเดินทางฝ่าขุมนรกที่เล่าเรื่องต่อจากภาคแรก Along with the Gods: The Two Worlds จึงได้เดินหน้าทำลายสถิติในวงการภาพยนตร์ตั้งแต่สัปดาห์แรกที่เข้าฉาย
เริ่มตั้งแต่การเปิดตัววันแรกด้วยจำนวนคนดู 1.23 ล้านคน เอาชนะ Train to Busan ที่สร้างปรากฏการณ์ไว้เมื่อปี 2016 ด้วยจำนวนคนดูวันแรก 858,659 คนอย่างขาดลอย และกลายเป็นภาพยนตร์เกาหลีเรื่องแรกในประวัติศาสตร์ที่มีคนดูมากกว่า 1 ล้านคนตั้งแต่วันแรกที่เข้าฉาย เว็บหนัง
และหลังจากเข้าฉายเพียง 5 วัน Along with the Gods: The Last 49 Days ก็มีคนซื้อตั๋วเข้าไปชมมากถึง 6 ล้านคน คิดเป็นรายได้ 51,783,623,000 วอน (ประมาณ 1,500 ล้านบาท) ในขณะที่ภาคแรก Along with the Gods: The Two Worlds ต้องใช้เวลา 10 วันจึงจะมีคนดู 6 ล้านคน
นอกจากฉากแอ็กชันสะใจตระการตาและความแฟนตาซีเหนือจินตนาการที่อัดเข้ามาตลอดเรื่อง เราคิดว่าอีกหนึ่งเหตุผลที่ทำให้ Along with the Gods: The Last 49 Days ประสบความสำเร็จอย่างถล่มทลายคือ ‘เมสเสจ’ สำคัญในตอนจบที่บีบคั้นและซาบซึ้งถึงขนาดทำให้คนที่ไม่ชอบหนังแอ็กชันอย่างเรายอมเปิดใจ
เริ่มตั้งแต่ในภาคแรกที่การขมวดปมตอนท้ายเรื่องระหว่างพระเอก น้องชาย และแม่ ที่ค่อนข้างสะเทือนความรู้สึกจนเราถึงกับคิดไปว่าที่ผู้กำกับพยายาม ‘เล่นใหญ่’ ใส่ทุกกระบวนท่ามาทั้งหมดก็เพียงเพื่อนำไปสู่ประเด็นที่ว่า ‘บาปที่ได้รับการอภัยนั้นไม่สามารถนับเป็นความผิดได้อีก’
จนเมื่อดู Along with the Gods ภาค 2 จบ ซึ่งเราก็ยังไม่ได้ตื่นเต้นไปกับฉากแอ็กชันเท่าไรนัก หลายฉากเราถึงกับต้องเลิกคิ้วสูงว่าจะมาสู้กันอย่างนี้จริงๆ เหรอ เพียงแต่สิ่งที่ต่างออกไปคือการสรุปประเด็นสำคัญในตอนท้ายเรื่องที่เปลี่ยนจากทำได้ ‘ดี’ กลายเป็น ‘ดีมาก’ ขึ้นมา
he Last 49 Days เล่าเรื่องต่อจาก The Two Worlds ทันที หลังจากยมทูตทั้งสามช่วยกัน ‘ว่าความ’ จนนำส่งวิญญาณของ คิมจาฮง (รับบทโดย ชาแทฮยอน) นักดับเพลิงที่มีอดีตแสนขมขื่นกับแม่และน้องชายได้สำเร็จ และต้องเริ่มภารกิจใหม่ด้วยการนำส่งดวงวิญญาณของ คิมซูฮง (รับบทโดย คิมดงอุค) น้องชายนายทหารที่ถูกทิ้งปมเรื่องการตายไว้กับเพื่อน 2 คนที่จะมาสะสางกันต่อในภาคนี้
รวมถึงการย้อนไปเล่าเรื่องราวในอดีตของหัวหน้าทีม ยมทูตคังริม (รับบทโดย ฮาจองอู), เฮวอนเมก (รับบทโดย จูจีฮุน) และดัคชุน (รับบทโดย คิมฮยังกี) สองยมทูตที่ถูกลบความทรงจำในอดีตและต้องมาทำงานร่วมกับคังริมร่วมพันปี โดยที่ไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่าในช่วงที่มีชีวิตอยู่นั้นพวกเขามีความสัมพันธ์กันอย่างไร เหตุผลที่พวกเขาต้องมาทำงานร่วมกันก็มีเพียงคังริมที่ไม่ถูกลบความทรงจำ และยอมรา (รับบทโดย อีจองแจ) ราชันแห่งนรกผู้กุมความลับทุกอย่างและมอบหมายภารกิจสุดโหดให้พวกเขาเท่านั้น
อีกพาร์ตคือบทของ ซองจูชิน (รับบทโดย มาดงซอก จอมขโมยซีนจาก Train to Busan) กับการเป็นเทพอารักษ์ประจำครอบครัวที่นอกจากปกป้องคุณปู่และหลานตัวเล็กน่ารัก เขายังเป็นคนที่ค่อยๆ เปิดเผยอดีตที่ถูกลบไปของเฮวอนเมกและดัคชุนให้กลับคืนมาทีละน้อย
เนื่องจากภาคแรกได้ทำให้คนดูรู้จัก ‘กระบวนการ’ หลังความตายในนรกทั้ง 7 รวมทั้งแนะนำตัวละครสำคัญไปแล้ว การโฟกัสที่เรื่องเพื่อน อดีต และครอบครัวของตัวละครทั้งหมดทำให้ The Last 49 Days เปลี่ยนจากโทนหนังแอ็กชันที่มีคติสอนใจในตอนจบกลายเป็นหนัง ‘ดราม่า’ ที่มีฉากแอ็กชันเป็นตัวเคลือบเพื่อไม่ให้รสชาติขมจนเกินไป
แต่ปัญหาคือเราแอบรู้สึกว่ารสชาติสนุกๆ ที่เคลือบมานั้นหนาเกินไปจนทำให้ต้องบดเคี้ยวอยู่นานจึงจะได้รสชาติแท้จริงในภาคนี้ เพราะถ้าหั่นบางส่วนออกไป หนังอาจจะเล่าเรื่องได้ภายในเวลาไม่ถึง 2 ชั่วโมง (จาก 2 ชั่วโมง 20 นาที) โดยไม่เสียใจความสำคัญ เพราะอาศัยแค่อดีตอันแสนเจ็บปวดของยมทูตทั้งสามและการยอมรับผิดของ ‘เพื่อน’ ผู้ตายก็เข้มข้นกลมกล่อมเพียงพอที่จะดึงคนดูให้อยู่หมัดโดยที่ไม่ต้องอาศัยปลาปีศาจ ภูตินรกลาวาหิน หรือไดโนเสาร์ที่สูญพันธุ์ไปแล้วด้วยซ้
สรุปแล้ว Along With The Gods The Last 49 Days ก็กลายเป็นหนังภาคต่อที่มีเรื่องราวที่จะเล่าเยอะเกินเหตุจนไม่สามารถสร้างอารมณ์ร่วมให้คนดูด้วยดราม่าครอบครัวที่ทำให้หนังภาคแรกอยู่ในใจคนดูไปอย่างน่าเสียดาย.
จุดเด่น
เทคนิคพิเศษดีเหมือนเดิม
ตัวละครมีเสน่ห์
ทำให้เห็นถึงบาปบุญคุณโทษ
จุดสังเกต
เล่าเรื่องเยอะเกิน
ทุกปมเด่นจนสับสนว่าควรโฟกัสอะไร
ขาดความซึ้งแบบภาคแรก