รีวิว voyagers

รีวิว voyagers

 

 

แม้ voyagers จะเข้าฉายในโรงภาพยนตร์บ้านเราตั้งแต่ปลายปีก่อน ด้วยกระแสเงียบเหงา แต่ดูเหมือนว่าหลังจากที่ลงสตรีมมิ่ง Netflix ไม่กี่วัน หนังก็ขึ้นอันดับ Top 10 อย่างรวดเร็ว ตัวหนังว่าด้วยกลุ่มวัยรุ่นที่เพิ่งค้นพบสัญชาตญาณดิบของตัวเองกลางอวกาศอันเวิ้งว้าง

 

หนังเดินทางข้ามอวกาศไม่ใช่คอนเซ็ปที่แปลกใหม่ แต่ด้วยความแฟนตาซีของเทคโนโลยีอันเป็น “ภาพฝัน” ของมนุษย์ ว่าวันหนึ่งเราจะสามารถเดินทางไปยังเอกภพอื่น หรือเดินทางออกนอกระบบสุริยะจักรวาลที่เราคุ้นเคยเพื่อไปหาดวงดาวดวงใหม่ อันเป็นแหล่งพำนักพักพิง โดยก่อนหน้านี้หนังไซไฟ-โรแมนซ์อย่าง Passengers

 

 

ได้นำเสนอสองมนุษย์ที่เกิดตื่นขึ้นก่อนเวลา ที่พวกเขาจะถึงจุดหมายปลายทางและนั่นอาจจะหมายความว่าพวกเขาไม่มีโอกาสที่จะได้ไปเริ่มต้นชีวิตบนดาวดวงใหม่ แต่อาจจะสิ้นอายุขัยอยู่บนยานลำนี้

หนังแนะนำ

 

ตัวหนังเรื่องนี้เป็นผลงานไซไฟผลงานจากสตูดิโอ ‘Lionsgate’ และ ‘AGC Studios’ จากฝีมือการกำกับของ ‘นีล เบอร์เกอร์’ (Neil Burger) ครับ ผลงานของเขาที่น่าจะคุ้นกัน ก็น่าจะเป็นบรรดาหนังทีนเอจไซไฟตระกูล ‘Divergent’ ที่กำกับเฉพาะภาคแรก ‘Divergent’ (2014) และะถอยมาเป็น Executive Producer ในสองภาคหลัง หรือหนังไซไฟทริลเลอร์อย่าง ‘Limitless’ (2011) หรือถ้าไม่เอาไซไฟ เขาก็เคยกำกับ ‘The Upside’ (2017) หนังฟีลกู้ดปนตลกที่รีเมกจากหนังฝรั่งเศสเรื่องดัง ‘Intouchables’ (2011) นั่นเอง

 

 

รีวิว voyagers

 

รีวิว voyagers เรื่องย่อ

 

รีวิว voyagers สำหรับ Voyagers เลือกจะนำเสนอโลกอนาคตที่ทรัพยากรทางธรรมชาติกำลังใกล้จะหมดลง ทำให้มีการจัดตั้งโครงการนำพามนุษย์ทั้ง 30 คน ซึ่งยังเป็นเด็กต้องเดินทางไปยังโลกใบใหม่ โดยระหว่างการเดินทางพวกเขาถูกวางกิจวัตรประจำวันให้ดื่มน้ำสีฟ้า โดยที่พวกเขาไม่รู้เลยว่าสิ่งที่รับเข้าสู่ร่างกายนั้นเป็นยากดความรู้สึก ทำให้ไร้อารมณ์ ความต้องการ รวมไปถึงแรงขับทางเพศหนังฝรั่ง netflix รัก      

 

 

ระยะเวลาในการเดินทางอันเนิ่นนาน วันหนึ่งแซ็ก (เฟียนน์ ไวท์เฮด) ค้นพบว่าน้ำสีฟ้านั้นทำให้เขาไม่มีอารมณ์ความรู้สึก เขาจึงชักชวนให้คริสโตเฟอร์ (ไท เชอริแดน) เลิกดื่มมัน เพื่อสัมผัสกับความรู้สึกอันแปลกใหม่อันแสนสุดยอด จากการชวนเพื่อน 1 คน เริ่มแผ่ขยายวงกว้างขึ้นไปเรื่อยๆ ในขณะเดียวกัน ริชาร์ด (โคลิน ฟาร์เรลล์)

นักวิทยาศาสตร์ที่อุทิศตัวเองให้กับโครงการนี้และเป็นคนที่ดูแลเด็กทั้งสามสิบคนมากับมือ แม้เขาจะรู้ดีว่าการเดินทางครั้งนี้จะจบลงด้วยการที่ตัวเองจะสิ้นอายุขัยบนยานอวกาศก่อนถึงจุดหมาย แต่กลับกลายเป็นว่า เกิดเหตุการณ์ที่ไม่คาดฝันขึ้น เมื่อระหว่างที่เขาออกไปซ่อมแซมยาน เขาก็เสียชีวิตลงอย่างปริศนาคล้ายกับว่า โดนเงาดำๆจู่โจม

 

 

หลังจากที่เด็กวัยรุ่นกลุ่มนี้ขาดคนชี้แนะ พวกเขาก็เริ่มทำทุกอย่างตามใจตัวเอง ฉีกกฎเกณฑ์ทุกอย่าง ยานลำนี้กำลังจะขับเคลื่อนไปด้วยความคลุ้มคลั่ง ความรุนแรง และหายนะบางอย่างได้คืบคลานเข้ามาโดยที่พวกเขาไม่ทันตั้งตัว

 

รีวิว voyagers

 

เนื้อเรื่อง

 

‘Voyagers’ ว่าด้วยเรื่องของหายนะโลกที่กำลังเกิดขึ้นในอนาคตอันใกล้ครับ โลกกำลังเผชิญกับวิกฤติทรุดโทรม ทรัพยากรไม่เพียงพอ การทนอยู่อาศัยบนโลกกลายเป็นเรื่องยาก นักวิทยาศาสตร์จึงได้วางแผนที่จะย้ายมนุษย์ไปยังดาวเคราะห์ดวงใหม่ที่ต้องใช้เวลาเดินทางยาวนานกว่า 86 ปี ก็เลยต้องมีการส่งมนุษย์เข้าไปบุกเบิกก่อน แต่ถ้าจะไปโดด ๆ อาจจะแก่ตายก่อน นักวิทยาศาสตร์เลยมีกระบวนการที่ซับซ้อนกว่านั้น คือ ต้องมีการเพาะเลี้ยงมนุษย์ในแล็บขึ้นมา 30 คน เพื่อเป็นลูกเรือชุดแรกที่จะส่งไปบนอวกาศ เมื่อถึงเวลา ลูกเรือเหล่านี้แหละก็จะทำหน้าที่ขยายพันธุ์ เลี้ยงดู สืบต่อกันไปเรื่อย ๆ กว่าจะไปถึงดาวก็ต้องใช้เวลาอย่างน้อย ๆ 3 รุ่น    ดูหนังออนไลน์      

 

 

แต่ลูกเรือเหล่านั้นไม่ได้ไปแต่ลำพัง เพราะมีนักวิทยาศาสตร์ผู้เชี่ยวชาญอย่าง ‘ริชาร์ด’ (Colin Farrell) ไปดูแล เสมือนเป็นครูใหญ่ และพ่อของเหล่าลูกเรือ ทุกเช้า ลูกเรือทุกคนจะต้องดื่มน้ำสีฟ้าที่ชื่อว่า เดอะ บลู (The Blue) ซึ่งเรื่องมันมาเกิดตอนที่เป็นวัยรุ่นนี่แหละ เมื่อเด็กหนุ่มเพื่อนซี้ ‘คริสโตเฟอร์’ (Tye Sheridan), ‘แซ็ก’ (Fionn Whitehead) และ ‘เซลา’ (Lily-Rose Depp) หญิงสาวผู้มีความฉลาดด้านการแพทย์ ดันไปล่วงรู้ว่า ไอ้เดอะบลูที่พวกเขาดื่มทุกเช้าเนี่ย มันเอาไว้กดฮอร์โมนไม่ให้พุ่งพล่าน กดอารมณ์ไม่ให้รู้สึกอะไรมากเกินพอดี และกดอารมณ์ทางเพศไม่ให้ไปสวีวี่วีกันเองมั่วซั่ว เมื่ออารมณ์และกฏที่เคยถูกกดกลับปะทุ ภัยร้ายอันตรายก็เลยเกิดขึ้นเพราะวัยว้าวุ่นเหล่านี้นี่แหละ

 

รีวิว voyagers

พล็อตเรื่อง

 

ในแง่ของพล็อต เอาเข้าจริงตัวหนังถือว่ามีความ High-Concept มาก ๆ เลยนะครับ คือเป็นหนังTeenage Sci-Fi หรือแนวไซไฟวัยรุ่น (จำพวกเดียวกับ ‘Ready Player One’ (2018) หรือ ‘The Hunger Games’ (2012)) ที่ถือว่ามีคอนเซ็ปต์และพล็อตน่าสนใจทีเดียว แม้ตัวพล็อตเองจะมีความคุ้น ๆ จากหนังสือ ‘Lord of the Flies’ (วัยเยาว์อันสูญสิ้น) เขียนโดย ‘วิลเลียม โกลดิง’ (William Golding) ที่ว่าด้วยกลุ่มเด็กติดเกาะที่แก่งแย่งชิงดีกันเพื่อช่วงชิงอำนาจในการจัดระเบียบสังคม เพียงแต่มีความเป็นไซไฟที่มีกลิ่นอายของแบบดิสโทเปีย (Dystopia) ที่ดำเนินด้วยวิธีการเล่าเรื่องแบบ Young Adult (เด็กที่จำต้องดำรงชีวิตและเอาตัวรอดแบบผู้ใหญ่) เข้ามาด้วยนั่นเอง   ดูหนังฟรี 

 

ที่ผู้เขียนชอบคอนเซ็ปต์ของหนังเรื่องนี้อีกอย่างก็คือ การตีความเกี่ยวกับเรื่องของความเป็นมนุษย์ครับ ตัวหนังในตอนแรกจะชูให้เราเห็นว่า แม้ไอเดียการทำแบบนี้จะเป็นการช่วยมนุษยชาติ แต่อีกด้านหนึ่งมันก็เป็นการทำลายชีวิตมนุษย์อีกกลุ่มหนึ่งไปเหมือนกัน วัยรุ่นพวกนี้แหละจะได้เรียนรู้ว่า อะไรที่ทำให้มนุษย์เป็นมนุษย์ ความสุข ความทุกข์ ความโกรธ ความห่าม ตัณหา อารมณ์ทางเพศ ความอยากสวีวี่วีกับใครสักคนเป็นเรื่องผิดบาปจนต้องกดเอาไว้จริงหรือไม่ วิทยาการมันมีแต่ข้อดีจริงหรือเปล่า นี่ยังไม่รวมถึงการตั้งคำถามเกี่ยวกับการเมืองและการปกครองที่ชวนให้นึกถึงการเมืองไทยนิด ๆ ด้วยนะ

 

หนังแนะนำ

ตัวหนังที่คอนเซ็ปต์จัดขนาดนี้ ถ้าสามารถเล่าและขมวดหนังเรื่องนี้ให้ออกมาคม และกลม นี่จะเป็นหนังแนวไซไฟจิตวิทยาที่แข็งแรงและให้ความบันเทิงแบบฉลาด ๆ ได้แน่นอน แต่ตัวหนังกลับดันตกม้าตายด้วยจุดพลิกผันเริ่มต้นองก์ที่ 2 เสียอย่างนั้นครับ เพราะยิ่งหนังเดินหน้า ตัวบทและการดำเนินเรื่องเบาหวิวมากขึ้นเรื่อย ๆ ด้วยการกระทำของตัวละครที่ล้วนแต่มาและไปแบบง่าย ๆ จนพาให้การดำเนินเรื่องอ่อนเปลี้ยเพลียแรง เรียบง่าย และธรรมดาจนแทบจะหาจุดพีก จุดลุ้น จุดเอาใจช่วยไม่เจอ

 

 

ซ้ำร้าย ตัวบทก็ยิ่งพากระชากตัวออกนอกลู่ ด้วยการเพิ่มโทนสยองขวัญเข้ามาเสียอย่างนั้นแหละ ทำให้ตัวหนังเริ่มหลุดโฟกัสออกไปทีละน้อย จากองก์แรก เริ่มปูเรื่องด้วยพล็อตไซไฟคอนเซ็ปต์จัดท่าทีฉลาด ๆ ทั้งเรื่องของเทคโนโลยี เรื่องของชายเป็นใหญ่ (Masculinity) การต่อสู้กับธรรมชาติ ลากเข้าสู่หนังการเมืองวัยว้าวุ่น ความหวาดระแวง ความดำมืดของมนุษย์ และแรงผลักดันทางเพศสุดวาบหวามในองก์ที่สอง และแหกโค้งไปเป็นหนังสยองขวัญเดาง่ายในองก์สุดท้ายเสียอย่างนั้น ทำให้ตัวหนังกลายเป็นเพียงการพยายามจะเล่าอะไรก็ได้อย่างละนิดละหน่อยในแบบที่ Genre หนังไซไฟเรื่องหนึ่งพึงจะมี ด้วยท่าทีที่เบาหวิว สรุปทุกอย่างง่าย ๆ ไม่สุดกับอะไรสักทาง

 

รีวิว voyagers นักแสดง

 

รีวิว voyagers แม้จะเน้นนักแสดงรุ่นใหม่เสียเยอะ แต่นักแสดงเหล่านี้ก็ถือว่าไม่เลวร้ายครับ เพียงแต่ว่า ก็ตัวบทอีกนั่นแหละที่ไม่ได้ช่วยส่งให้ตัวละครมีความน่าสนใจ ทำให้โดยรวม ๆ ดูแบน ขาดมิติ ไม่รู้จะเอาใจช่วยใครได้ ทั้งฝั่งคู่ซี้อย่าง ‘ไท เชอริแดน’ (Tye Sheridan) และ ‘เฟียน ไวท์เฮด’ (Fionn Whitehead) ที่ดูจะขาวจัดดำจัดมากไปหน่อย (ใครดำใครขาวไปดูเองนะ) ส่วน ‘ลิลลี โรส เดปป์’ (Lily-Rose Depp) (ลูกสาวคนสวยของป๋า ‘จอห์นนี เดปป์’ (Johnny Depp)) และดาราเบอร์ใหญ่สุดในเรื่องอย่าง ‘โคลิน ฟาร์เรล’ (Colin Farrell) ก็แอบน่าเสียดายที่ทั้งคู่มีน้ำหนักในเรื่องน้อยไปหน่อย บทบาทที่อุตส่าห์วางไว้ให้ก็ได้ใช้น้อยมาก ทำให้ในหนังแทบจะไม่มีนักแสดงคนไหนโดดเด่นจนถึงขั้นมอบ MVP ให้ได้จริง ๆ

 

 

 

 

สรุปภาพรวม

 

โดยสรุป ‘Voyagers คนอนาคตโลก’ คือหนังทีนเอจ ไซไฟ High-Concept ที่แตะเรื่องราวได้แต่เพียงบาง ๆ และเล่าด้วยตัวละครที่ดูแบนจนไม่รู้ว่าจะเอาใจช่วยใครได้จริง ๆ เล่าอะไรได้ไม่สุดสักทาง และแถมยังเป๋ไปออกแนวสยองขวัญอีกต่างหาก ถ้าจะดูเอาฉลาด ดูความไฮคอนเซ็ปต์ อาจไม่ค่อยได้อะไร เพราะมันแบนบางเกินกว่าจะดูเอาเรื่องจริง ๆ แต่ถ้าดูเพื่อเอารส เอาความบันเทิง ดูเอาพล็อตล้ำ ๆ งานโปรดักชันที่เข้าขั้นดี ดูเสน่ห์ของแคสติงที่ยังพอมีให้ชม ก็น่าจะพอถูไถก๊อก ๆ แก๊ก ๆ ไปได้จนจบเรื่องนั่นแหละนะครับ

 

 

น่าเสียดายที่ Voyagers เกือบจะสามารถกลายเป็นหนังจิตวิทยา ที่เล่นกับอารมณ์ความรู้สึกของตัวละครได้ตลอดทาง แต่ยิ่งกลายเป็นว่าเมื่อหนังเล่าเรื่องไปข้างหน้า ตัวร้ายของเรื่องก็กลายเป็นภาพตัวละครแบนๆที่ไม่มีมิติอื่นนอกจากความคลั่ง (ตัวละครฝั่งพระเอกก็ไม่มีมิติใดๆเช่นกัน) บทสรุปทุกอย่างคลี่คลายไปอย่างง่ายดาย จนคนดูเองอาจจะต้องย้อนกลับไปตั้งคำถามด้วยซ้ำไปว่า แล้วก่อนหน้านี้ที่หนังวางเงื่อนไขเรื่อง “อาหาร” และความอยู่รอด ของตัวละครไว้นั้น จะกล่าวถึงให้กลายเป็นการขัดขาตัวเองไปทำไม ในเมื่อหนังเลือกจะจบแบบแฮปปี้เอนดิ้ง ตีหัวเข้าบ้านอย่างที่เราได้เห็นกัน

 

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *