รีวิว Green Book

รีวิว Green Book

รีวิว Green Book

 

Green book กรีนบุ๊ค หนังเจ้าของรางวัลออสการ์ 3 รางวัลในสาขาภาพยนตร์ยอดเยี่ยม , สมทบชายยอดเยี่ยม และ บทภาพยนตร์ดั้งเดิมยอดเยี่ยม ประจำออสการ์ปี 2018  และ 3 รางวัล ลูกโลกทองคำ ในสาขาบทภาพยนตร์ยอดเยี่ยม , ภาพยนตร์ยอดเยี่ยม ในประเภทเพลงหรือตลก และปิดท้ายด้วย สมทบชายยอดเยี่ยมครับ

 

 เว็บหนัง  

Green book กรีนบุ๊ค หนังที่อ้างอิงมาจากเรื่องจริงของนักดนตรีผิวสีอย่าง ดอน เชอร์ลีย์ กับคนขับรถของเขาชาวอเมริกันเชื้อสายอิตาเลียนอย่าง โทนี ลิป ที่ย้อนกลับไปในปี 1930-1960 ที่คนผิวสีในอเมริกานั้นต้องพกหนังสือที่ชื่อว่า “The Negro Motorist Green Book” หรือเรียกสั้นๆว่า “Green Book” ที่เป็นเหมือนหนังสือไกด์แนะนำร้านอาหาร โรงแรม หรือสถานที่ที่ต้อนรับคนผิวสีในขณะนั้น เพราะในช่วงเวลานั้นมีการเหยียดผิวที่รุนแรงมากถึงขั้นเสียชีวิตเลยก็มีในการเดินทางไปทั่วอเมริกาเพื่อทำการแสดง แต่ในยุคนั้นมีการเหยียดผิวที่รุนแรงเกือบทั่วอเมริกา

 

 

หนังเรื่องนี้กำกับโดยปีเตอร์ ฟาร์เรลลี จากหนังตลกอย่าง Dumb and Dumber (1994) และนำแสดงโดยนักแสดงอย่าง วิกโก้ มอร์เทนเซน ผู้เข้าชิงสองรางวัลออสการ์จาก Eastern Promises, Captain Fantastic ร่วมด้วย มาเฮอร์ชาลา อาลี เจ้าของรางวัลออสการ์จาก Moonlight

 

รีวิว Green Book

 

รีวิว Green Book เรื่องย่อ

 

Green Book คือผลงานที่นำแสดงโดยสองนักแสดงฝีมือคุณภาพ วิกโก้ มอร์เทนเซน ผู้เข้าชิงสองรางวัลออสการ์จาก Eastern Promises, Captain Fantastic ร่วมด้วย มาเฮอร์ชาลา อาลี เจ้าของรางวัลออสการ์จาก Moonlight เล่าถึงเรื่องราวของ สองคู่หูต่างขั้วที่จับผลัดจับผลูตระเวนเดินทางไปทั่วตอนใต้ของอเมริกาด้วยกัน “โทนี่ ลิป” (วิกโก้ มอร์เทนเซน) พี่ล่าขาใหญ่เชื้อสายอิตาเลียน-อเมริกันจากย่านบรองซ์ในนิวยอร์ก ต้องมาเป็นคนขับรถให้ “ดอน เชอร์ลีย์” (มาเฮอร์ชาลา อาลี) นักเปียโนคลาสสิคผิวสีระดับโลก ระหว่างที่เขาออกเดินสายขึ้นแสดงในยุค 60 สิ่งเดียวที่นำทางทั้งคู่คือ “สมุดปกเขียว” ที่บอกสถานที่ที่เป็นมิตรกับคนผิวสี พวกเขาต้องฝ่าทั้งกำแพงแห่งสีผิว ภัยอันตรายต่าง ๆ เช่นเดียวกับน้ำใจจากเพื่อนมนุษย์ในการเดินทางครั้งสำคัญนี้

เว็บดูหนัง  

ผู้กำกับหนังสายฮา ปีเตอร์ ฟาร์เรลลี่ ที่ดังจากผลงานตลกเป็นส่วนมากทั้ง Dumb and Dumber (1994) และ There’s Something About Mary (1998) กลับมาอีกครั้งพร้อมเปลี่ยนแนวมาสายดราม่าอารมณ์ดีที่เปรี้ยงถึงขนาดเข้าชิงรางวัลลูกโลกทองคำถึง 5 สาขาด้วยกัน (ภาพยนตร์เพลงหรือตลกยอดเยี่ยม /บทภาพยนตร์ /กำกับภาพยนตร์ /นักแสดงนำชาย /นักแสดงสมทบชาย) ซึ่งน่าสนใจมากทีเดียว และในนาทีพูดได้เลยว่านี่เป็นหนังที่น่ารักโคตร ๆ อมยิ้มและขำรัว ๆ ยิ่งไม่อยากให้หนังจบเลยด้วยซ้ำ เหมือนเราดูคู่หูต่างขั้วคู่นี้ไปได้เรื่อย ๆ แบบไม่รู้จบเลย เรียกว่าฟาร์เรลลี่ดึงทักษะหนังตลกที่เชี่ยวชาญมาผสมหนังชีวิตได้โคตรฟีลกู้ดเลย ตกหลุมรักมากกกก

 

หนังเอาเรื่องจริงเกี่ยวกับประวัติศาสตร์การเหยียดผิวอันเลื่องชื่อของอเมริกาในช่วงยุค 1930-1960 ที่คนผิวสีต้องพกหนังสือชื่อ “The Negro Motorist Green Book” ซึ่งภายหลังชื่อเรียกเหลือแค่ Green Book ที่พิมพ์มาเป็นไกด์แนะนำว่ามีร้านอาหาร โรงแรม หรือสถานที่ใดที่ยินดีต้อนรับคนผิวสีบ้าง เพราะยุคนั้นถ้าหลงเข้าไปที่ที่มีการเหยียดรุนแรงอาจถูกทำร้ายจิตใจทางวาจา หรืออาจหนักกว่านั้นจนเสี่ยงชีวิตเลยก็ได้

 

 

หนึ่งในเรื่องราวที่สวยงามที่สุดในยุคนั้นก็คือ มิตรภาพของคนต่างผิวสีต่างนิสัยและต่างที่มา ซึ่งเกิดขึ้นจริงในวงการบันเทิงอย่าง ดร.ดอน เชอร์ลีย์ นักเปียชื่อดังระดับโลก กับบอดี้การ์ดอิตาลีสุดกระด้างจากย่านกุ๊ยของนิวยอร์กอย่าง โทนี่ ลิป วัลเลลองก้า ที่ถูกว่าจ้างให้ติดตามดูแลครั้งที่ ดร.เชอร์ลีย์ ต้องเดินทางแสดงผลงานในภาคใต้ของอเมริกาซึ่งมีประวัติการเหยียดผิวรุนแรงที่สุดเพราะเป็นดินแดนที่ค้าทาสผิวสีเดิม ก่อนที่จะแพ้สงครามกลางเมืองและมีการบังคับเลิกทาสไปในที่สุดสมัยประธานาธิบดีลินคอล์น แต่กระนั้นความรุนแรงของการเหยียดผิวก็ยังฝังรากลึกในวัฒนธรรมแดนใต้อยู่ต่อมายาวนาน การเดินทางแสดงดนตรีธรรมดาจึงมีเรื่องราวมากกว่าแค่การนั่งรถชมวิวแน่นอน

รีวิว Green Book

นักแสดง

หนังได้ดาราชั้นนำมารับบทคนที่มีอยู่จริงอย่างนักแสดงนำ วิกโก้ มอร์เทนเซน หรือ อารากอน จาก The Lord of the Rings มารับบท โทนี่ ลิป และได้ดาราเจ้าของรางวัลสมทบชายออสการ์จากหนัง Moonlight (2016) อย่าง มาเฮอร์ชาลา อาลี มารับบท ดร.ดอน เชอร์ลีย์  และดอกไม้ชูโรงของหนังก็ได้ ลินดา คาร์เดลลินี่ จาก Brokeback Mountain (2005) มารับบท โดโลเรส ภรรยาของโทนี่ ลิป ด้วย

 

หลายคนอาจจะคุ้นหน้าของ โทนี่ ลิป ตัวจริง เพราะภายหลังจากเรื่องราวในหนังนั้น เขาก็สร้างเนื้อสร้างตัวจนเป็นเจ้าของกิจการไนท์คลับชื่อดัง และกลายเป็นหนึ่งในดารารับเชิญที่มักปรากฏตัวในหนังของผู้กำกับดังอย่าง ฟรานซิส ฟอร์ด คอปโปลา ซิดนีย์ ลูเมท และ มาร์ติน สกอร์เซซี  โดยครั้งแรกเขาเล่นบทรับเชิญแขกในฉากงานแต่งของ The Godfather (1972) และที่น่าจะจำได้มากสุดคือการรับบท คาร์ไมน์ ลูเปอร์ทาสซี่ ในซีรีส์ The Sopranos นั่นเอง ซึ่งเสน่ห์ของหนังส่วนมากเลยต้องบอกว่ามาจากตัวของโทนี่ ลิป นี่เองเลยล่ะ เพราะแม้จะหยาบกระด้างแต่เขาสัมผัสได้ และแม้จะแข็งนอกแต่ภายในเขามีมุมอ่อนโยน มีเสน่ห์ในการพูดจาหว่านล้อม เป็นลูกผู้ชายที่ถือสัจจะเป็นคนจริง และเป็นนักเลงในแบบที่ใครก็เกลียดไม่ลงเลย ซึ่งมอร์เทนเซนก็ถ่ายทอดออกมาได้อย่างไร้ที่ติ เป็นการพลิกทั้งรูปลักษณ์ และการแสดงที่เขาเคยทำได้อย่างน่าทึ่ง เราแทบลืมไปเลยว่านี่คือการแสดง และคนที่อยู่บนจอคือมอร์เทนเซน

 

รีวิวหนัง   

ในด้านของอาลี ที่รับบท ดร.ดอน เชอร์ลีย์ นั้นก็ต้องคารวะอีกครั้ง เพราะใน Moonlight เราอาจติดภาพนักเลงข้างถนนของเขามาอย่างตราตรึง แต่ในเรื่องนี้เขาก็พลิกเป็นชายผิวสีไฮโซ การศึกษาสูง ผู้มีรสนิยมสูงแปลกแยกจากคนอื่น และดูอ้างว้างโดดเดี่ยวอยู่เสมอได้อย่างน่าทึ่ง การที่ต้องเล่นเป็นนักเปียโนระดับเทพอาลีก็ฝึกฝนและถ่ายทอดการแสดงเปียโนที่สมจริงได้อย่างไม่มีอะไรให้ติติงเลย และการเข้าคู่ของทั้งคู่ทั้งอาลีและมอร์เทนเซนคือความน่าประทับใจที่เห็นถึงมิตรภาพของความแตกต่าง การยอมรับนับถือในกันและกันของผู้ชายสองคนที่สวยงามมาก ๆ ตราตรึงมาก ๆ ด้วย

รีวิว Green Book

และที่ต้องชื่นชมที่สุดแห่งที่สุดคงเป็นงานเขียนบทและการกำกับ โดย ปีเตอร์ ฟาร์เรลลี่ อย่างที่ได้พูดมาว่าใช้ทักษะที่ชำนาญในหนังตลกแมส ๆ มาสู่หนังดราม่าได้อย่างคมคายและน่าทึ่งมาก ๆ เกินความหมายสุด ๆ และส่วนหนึ่งที่บทคมคายและสมจริงได้ขนาดนี้ก็ต้องชื่นชมมือเขียนบทร่วมที่ได้ลูกชายของโทนี่ ลิปตัวจริงอย่าง นิก วัลเลลองก้า มาช่วย รวมถึง ไบรอัน เฮย์ส เคอรรี่ ดาราตัวประกอบรุ่นเก๋าที่มาเสริมบทหนังได้อย่างดี มีคำพูดดี ๆ คม ๆ และน่าจดจำมากมาย มันคือหนังที่สมบูรณ์แบบในบทแบบชนิดไร้ช่องโหว่ และการถ่ายทอดผ่านกิมมิกของสีเขียวก็ถูกวางไว้ตลอดเรื่องก็ผลักดันให้เราดูไปคิดไป

 

Green book กรีนบุ๊ค ต้องบอกเลยว่าเป็นหนึ่งในหนังที่คุณไม่ควรพลาด บวกกับการที่หนังหยิบเอาเรื่องจริงมาเล่ายิ่งทำให้มีความน่าสนใจขึ้นไปอีก การเล่าเรื่องของหนังส่วนใหญ่จะโฟกัสไปที่มิตรภาพระหว่างคนสองคนที่ต่างสีผิวกัน ที่ทั้งเรื่องเราจะได้เห็นทั้งคู่ต่อบทกันอย่างเมามันและแฝงไปด้วยความตลก ที่คนดูไม่น่าเบื่อแน่นอน

 

แต่สิ่งสำคัญของหนังคงต้องยกให้เป็นการเหยียดผิวครับซึ่งมันทำให้คนดูอย่างเรานั้นรู้สึกเจ็บปวดทุกครั้ง ยิ่งในฉากที่ ดร.ดอน เชอร์ลีย์พูดว่า “คนขาวก็มองผมเป็นแค่ไอ้มืดคนหนึ่ง ส่วนคนผิวสีคนอื่นก็ไม่ยอมรับผม เพราะผมมันแตกต่าง” ยิ่งทำให้เราเข้าใจถึงความรู้สึกโดดเดี่ยวของตัวละครมากขึ้นไปอีก บอกเลยว่าหนังที่ทำคนดูอินตามได้ตลอดทั้งเรื่องเลยล่ะ

 ดูหนัง

ส่วนการแสดงของนักแสดงนั้นบอกเลยว่าสุดยอดทั้งคู่ครับสมกับรางวัลที่ได้มาจริงๆ ชอบความน่ารักของทั้งคู่มาก ที่ดูแล้วต้องยิ้มออกมาตลอดในตอนที่ทั้งคู่นั้นเถียงกันภายในเรื่อง ชอบที่หนังสื่อความหมายถึงคำว่ามิตรภาพได้อย่างสมบูรณ์แบบมากๆครับ ทำแอดหัวตาคลอไปเลย ส่วนช่วงกลางถึงท้ายเรื่องบอกเลยว่าเป็นหนังที่ให้อารมณ์ฟิลกู๊ดมากๆเลยครับ ที่แบบดูจบแล้วยิ้มไม่หุบกันเลยทีเดียว กับหนังเรื่องนี้ Green book กรีนบุ๊ค

 

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *