รีวิว A Quiet Place Part II

รีวิว A Quiet Place Part II

 

รีวิว A Quiet Place Part II

 

ภาคต่อมาแล้วค่ะ ใครชอบความระทึก สนุกสุด ล้นหนักมากต้องขอยกให้เรื่องนี้เลยในเวลานี้แถมเป็นภาพยนต์ที่จะไม่ทำให้คุณนั้นต้องผิดหวังเลยจริงๆกับ

 

รีวิว A Quiet Place Part II ดินแดนไร้เสียง 2

 

รีวิว A Quiet Place Part II เรื่องย่อ

 

แค่เงียบไม่พอให้รอด เราจะได้เห็นการเดินหน้าเอาชีวิตรอดกันต่อไปของครอบครัวเดิมในภาคแรก และพวกเขาก็จะได้รู้ว่าพวกเขาไม่ใช่คนที่เหลือรอดเพียงกลุ่มเดียว เราจะได้รับคำตอบเกี่ยวกับเรื่องราวก่อนหน้านี้ที่ที่ทุกอย่างได้เริ่มเกิดขึ้นด้วย คุณกำลังจะได้เห็นอีกด้านหนึ่งของการเอาชีวิตรอดของเหล่ามนุษยชาติจากพวกอสุรกายเหล่านี้ในภาคต่อไป

รีวิว A Quiet Place Part II

 

ภาคต่อของ ‘A Quiet Place’ หนังฮิตแบบม้ามืดเมื่อปี 2018 เมื่อโลกถูกคุกคามโดยสัตว์ประหลาดที่ไวต่อเสียงจนทุกชีวิตบนโลกต้องแฝงตัวในความเงียบเพื่อเอาชีวิตรอด เราจะยังได้ติดตามเรื่องราวของครอบครัวแอบบ็อตต์ในภาคแรกแบบไร้ร้อยต่อ คือเอาตอนจบภาคแรกมาชนกับภาคนี้ได้เลย (แม้ตัวละครจะแอบดูโตขึ้นนิดหนึ่งก็ตาม) ซึ่งก่อนหน้านั้นเรายังจะได้เห็นเหตุการณ์ในวันแรกที่สัตว์ประหลาดบุกโลกด้วยทำให้ที่มาที่ไปของสัตว์ประหลาดดูชัดเจนขึ้น ทั้งยังจะได้เห็นหน้าคุณพ่อลี แอบบ็อตต์ ที่นำแสดงโดย จอห์น กราซินสกี (John Krasinski) ซึ่งรับหน้าที่ผู้กำกับทั้ง 2 ภาคนี้ให้หายคิดถึงด้วย

   ดูหนัง

 

แม้จะเป็นช่วงที่โรคโควิด-19 ระบาด ในหลาย ๆ พื้นที่โรงหนังยังคงปิดให้บริการ แต่ก็ต้องยอมรับแบบแรง ๆ ว่า นี่คือหนังที่ควรค่าแก่การรับชมในโรงหนังเท่านั้น ใครที่ชมภาคแรกมาแล้วน่าจะจำประสบการณ์โรงมืด ๆ เสียงเงียบกริบจนเกือบลืมหายใจ ถึงขนาดบางทีต้องกลั้นใจตามตัวละครไม่ให้ได้ยินแม้แต่เสียงหายใจ ความสนุกตื่นเต้นที่ได้จากทั้งภาพและเสียง ผสมผสานกับบทหนังที่ผลักเราให้ร่วมลุ้นแบบเป็นตายไปพร้อมครอบครัวตัวนำ นี่คือรสอารมณ์ที่คงได้เต็มเปี่ยมก็ต่อเมื่อชมในโรงหนังเท่านั้นจริง ๆ

 

 

 

หนังในภาคนี้ก็ยังคงมาตรฐานเดิมได้เยี่ยม ในตอนแรกคิดว่าหนังน่าจะใช้มุกหมดไปเยอะแล้ว แถมยังโดนหนังที่ฉายทีหลังลอกการบ้านไปพอสมควรทั้ง ‘The Silence’ (2019) หรืออารมณ์ใกล้เคียงอย่าง ‘Bird Box’ (2018) ทว่าหนังก็หยอดตัวละครใหม่ ๆ มาแจมกับกลุ่มนักแสดงเดิมอย่าง เอมิลี บลันต์ (Emily Blunt) ในบทคุณแม่ มิลลิเซนต์ ซิมมอนด์ส (Millicent Simmonds) ในบทพี่สาวคนโต และ โนอาห์ จูป (Noah Jupe) ในบทลูกชายคนรอง ที่เราผูกพันแล้วได้ลงตัวมาก ๆ

 

 เว็บหนัง

ตัวละครใหม่ที่สำคัญเลยคึือเพื่อนร่วมเมืองอย่าง เอ็มเมตต์ ที่ได้พระเอกนัยตาเศร้าอย่าง คิลเลียน เมอร์ฟี (Cillian Murphy) มาร่วมแสดง ซึ่งบทเอ็มเมตต์นี้ทำให้เรารุู้สึกนึกถึง โจเอล ในเกม ‘The Last of Us’ ที่บังเอิญต้องมาดูแลคนที่อ่อนแอกว่าอยู่เหมือนกัน โดยเขามีบทบาทสำคัญไม่น้อยกว่าตัวครอบครัวแอบบ็อตในภาคนี้เลยทีเดียว

 

 

อีกหนึ่งดาราดังที่มาในเรื่องก็คือ ดิจิมอน ฮาวน์ซู (Djimon Hounsou) นักแสดงผิวดำมากฝีมือที่แม้มาน้อยแต่มานะ เพราะเขามารับบทในครึ่งหลังของหนังที่มอบจุดพลิกเกมให้กับเหล่าตัวละครหลักด้วย จะอย่างไรนั้นต้องไปชมกันเอง

 

 

หนังยังคงฉลาดมาก ๆ ในการคิดเส้นเรื่องให้น่าติดตาม ทั้งการพาไปสู่สถานการณ์ที่ตัวละครต้องออกจากสถานที่ปลอดภัยไปเสี่ยงตายซึ่งเรามักรู้สึกว่ายัดเยียดมาหรือตัวละครทำไปแบบโง่ ๆ ในหนังแนวนี้ได้อย่างมีเหตุผล ทั้งแง่อารมณ์และตรรกะ ซึ่งยังขับเน้นพัฒนาการของตัวละครที่เห็นได้ชัดว่าพวกเขาเติบโตและเรียนรู้กับเหตุการณ์ในภาคแรกมาด้วย (บทแน่นดีมาก)

 

และแน่นอนสถานที่ใหม่ ๆ ของโลกภายนอกที่ออกจากฟาร์มในภาคแรกก็ยังทำให้ทุกอย่างดูน่าตื่นเต้นด้วย เราจะได้ไปพื้นที่ใหม่ ๆ จากกลางป่าสู่ชุมชนรกร้างจนถึงชายฝั่งทะเล ได้เจอชุมชนผู้รอดชีวิตที่เราไม่เคยเห็น ผู้คนใหม่ ๆ ที่มีทั้งดีและร้าย วิธีการใหม่ ๆ ที่คนอื่น ๆ ใช้เอาตัวรอดจากสัตว์ประหลาด แม้จะคล้าย ๆ หนังสูตรสำเร็จพวกแนวเอาชีวิตรอดในวันโลกสลาย แต่อย่างที่เราพาดหัวรีวิวไว้ว่า รู้ทั้งรู้ แต่ก็ยังลุ้น

รีวิว A Quiet Place Part II

 

ตรงนี้นับเป็นความฉลาดของการเล่าขั้นที่ 2 ไปอีก เพราะหนังเล่าเรื่องง่าย ๆ เรื่องที่คุ้นเคย เรื่องตามสูตรสำเร็จได้อย่างสนุก มีตัวละครที่เราดูปุ๊บก็รู้ว่าอย่างไรก็รอด บางทีอาจเดาฉากไฮไลต์ของหนังได้เลยด้วยซ้ำ ทว่าฉากการไล่ล่าและต่อสู้ ความเงียบที่ชวนผวา ทุกอย่างยังคงประสบความสำเร็จในการเล่นกับอารมณ์ผู้ชม ตรงนี้เพราะหนังทำให้เราผูกพันกับตัวละครใหม่ได้สำเร็จ และทำให้เราเอาใจช่วยตัวละครอย่างเอ็มเมตต์ให้รอดไปด้วยได้

 

 

แน่นอนว่าฉากจำในการที่หนังฆ่าตัวละครหลักในภาคแรกยังคงติดตาฝังใจผู้ชม และเป็นไกปืนที่ง้างไว้พร้อมลั่นใส่หัวใจผู้ชมในภาคนี้เช่นกัน อย่างที่บอกว่ามีบางตัวละครที่รับประกันสกิลตัวเอกที่เรารู้ว่าไม่มีทางตาย แต่นั้นไม่ได้รับประกันอะไรกับตัวละครอื่นเลย ที่เหลือคือตายได้ทุกตัวจริง ๆ

 

 

ลุ้นในความเงียบจนลืมหายใจ ภาพใหญ่ ๆ อลัง ๆ เสียงคำรามสนั่น ๆ กลางความมืด บอกได้เลยว่า นี่คือหนังที่พอจะคุ้มเสี่ยงไปชมในโรงหนังอยู่เหมือนกันนะ

 

 

ในเวลา 1 ชั่วโมง 37 นาที หนังเล่าเหตุการณ์ที่ดำเนินต่อไปเพียง 2-3 วัน เราจึงไม่ได้เห็นสตอรี่ไลน์มากมายและอาจไม่ค่อยเห็นพัฒนาการของตัวละครหลักมากเท่ากับภาคแรก แต่หนังภาคนี้มีสเกลที่ใหญ่ขึ้นและเงียบน้อยกว่าภาคแรก โดยภาคนี้เราจะได้เจอกับตัวละครอื่น ๆ เยอะขึ้น และได้เห็นว่าโลกที่มีเอเลี่ยนทำให้ความเป็นมนุษย์ของพวกเขาเปลี่ยนไปขนาดไหน

 

 

บางทีก็อดไม่ได้ที่จะเอาเหตุการณ์เอเลี่ยนในหนังย้อนมาเปรียบเทียบหรือคิดถึงกับโลกที่มี COVID-19 pandemic อยู่ ณ ปัจจุบัน โดยเฉพาะซีนที่ไปพบกับชุมชนหนึ่งซึ่งใช้ชีวิตได้ปกติสุขปราศจากเอเลี่ยนคุกคาม มันเหมือนคนไทยคือกลุ่มตัวละครเอก และชุมชนนั้นคือประเทศพัฒนาที่ประชาชนได้ฉีดวัคซีนที่ดีกันถ้วนหน้าและใช้ชีวิตได้โดยไม่ต้องสวมแมสก์แล้ว

 

 

อย่างไรก็ตาม เราต้องยอมรับว่า John Krasinski (ผู้กำกับ ผู้เขียนบท และผู้แสดงเป็นพ่อผู้ล่วงลับของครอบครัว) สามารถเล่าเรื่องได้อย่างชาญฉลาด สนุก ตื่นเต้น และน่าติดตาม เขาแบ่งตัวละครหลักออกเป็น 2-3 กลุ่ม แล้วเล่าตัดสลับอย่างมีชั้นเชิง

 

เว็บดูหนัง   

กลุ่มแรกคือ Regan ที่เชื่อว่า ที่ที่เธอจะไปมีกลุ่มผู้รอดชีวิตอยู่ เธอจึงแอบออกไปค้นหาคนเดียว เพื่อช่วยให้คนในครอบครัวได้มีบ้านที่ปลอดภัย เธอเชื่อว่าเธอกำลังทำหน้าที่แทนพ่อ แน่นอนว่า เธอฉลาดและกล้าหาญ แต่ในขณะเดียวกัน เธอก็ไม่ฉลาดที่ออกไปหาทำคนเดียว โชคดีที่มี Emmett ตามออกไปช่วย ทั้งสองก็ร่วมมือกันไปตามหาชุมชนผู้รอดชีวิต ซึ่ง Millicent Simmonds นักแสดงเด็กหน้าใหม่และพิการทางการได้ยินด้วยในชีวิตจริง ยังคงแสดงได้อย่างยอดเยี่ยม และประกบกับนักแสดงมืออาชีพอย่าง Cillian Murphy ได้โดยไม่รู้สึกขัดใจ

 

 

อีกกลุ่มคือ Marcus ลูกชายผู้ขี้ตื่นตระหนก และต้องอยู่เลี้ยงน้องทารกคนเดียวในบังเกอร์ เพราะแม่จำเป็นต้องออกไปหาหยูกยาและถังอ็อกซิเจนมาให้ลูก ๆ ซึ่ง Noah Jupe ก็ได้พิสูจน์อีกครั้งว่า เขาคือนักแสดงเด็กที่มีความสามารถและอนาคตไกล ถึงแม้เขาจะเริ่มโตไวเกินตัวละครในเรื่องไปแล้วตามประสาวัยรุ่น แต่ก็เป็นเรื่องที่คนดูเข้าใจได้ ส่วนนักแสดงมืออาชีพ ผู้เป็นทั้งภรรยาในหนังและในชีวิตจริงของผู้กำกับอย่าง Emily Blunt เธอได้รับการยอมรับอยู่แล้วเรื่องความสามารถทางการแสดง และเรื่องนี้ เธอก็ทำหน้าที่ได้ไร้ที่ติทั้งบทนำและพาร์ทซัพพอร์ตเด็ก ๆ ให้ shine bright like a diamond ยิ่ง ๆ ขึ้นไป

 

John Krasinski คงรู้ดีว่า Millicent Simmonds กับ Noah Jupe คือหนึ่งในจุดแข็งจุดหลักของ “ดินแดนไร้เสียง” แห่งนี้ไปแล้ว เสมือนการตระหนักรู้ว่า “เด็กคืออนาคตของชาติ” และทุก ๆ คนสามารถเป็น “หัวหน้าครอบครัว” ได้ เขาจึงเลือกให้เด็ก ๆ เป็นตัวเดินเรื่องหลักโดยมีผู้ใหญ่คอยเป็นแบ็คหนุน และดันเด็ก ๆ อย่างเต็มที่จนถึงฉากตัดจบอัน so powerful พร้อม ๆ กับเปิดประตูบานใหญ่ไปสู่ A Quiet Place Part 3 ที่ไม่ว่าจะยังไงก็ต้องมี!

 

รีวิว A Quiet Place Part II

 

 

จุดเด่น

บทที่ดูสนุก ตัวละครไม่ค่อยงี่เง่า สถานการณ์ลุ้นมีความหลากหลาย ขยายขอบเขตจากภาคแรกได้ดี นักแสดงก็เล่นได้น่าเอาใจช่วย

 

 

จุดสังเกต

ฉากซีจีตัวประหลาดที่เคลื่อนไหวไว ๆ ยังเห็นอาการหลอกตาอยู่บ้าง

 

ความรู้สึกหลังจากที่ดูจบ

 

ในภาคต่อนี้มันมีความระทึกมากกว่าเดิมตรงที่จะไม่อยู่นิ่งเฉยเหมือนภาคแรกแต่จะมีการต่อสู้และเอาชีวิตรอดมากขึ้นกว่าเดิมแถมเรื่องนี้ค่อนข้างมีจุดเด่นมากเลยก็คือถึงแม้ว่าตัวละครหลักจะเงียบเกือบทั้งเรื่องแต่สิ่งหนึ่งที่โดดเด่นนั่นคือการออกแบบเสียงเอฟเฟกต์และสามารถเก็บรายละเอียดของเสียงต่างๆรอบตัวได้อย่างดีมาก สิ่งหนึ่งที่ทำให้ชอบมากไม่มีเปลี่ยนเลยก็คือฉากหลบซ่อนฉากที่ต้องเงียบเพื่อรอดเป็นฉากที่เราลุ้นมากและมันทำให้ตัวเราเองเหมือนอยู่ในฉากนั้นไปด้วยเลย

 

ลุ้นแทบหยุดหายใจเลยก็ว่าได้ แล้วอีกอย่างการดำเนินเรื่องก็ทำให้ไม่น่าเบื่อด้วยความที่เรื่องราวค่อนข้างที่จะระทึกและไม่สามารถคาดเดาได้ว่าจะเกิดอะไรในยิ่งทำให้น่าติดตามสำหรับใครที่อยากจะชมก็สามารถรับชมได้แล้วในโรงภาพยนตร์นะคะ ขอให้คะแนนความสนุกแทบหยุดหายใจนี้ที่ 9/10 คะแนนะคะสนุกมากจริงๆต้องไปดูกันให้ได้นะ

 

 

ข้อคิดที่ได้จากการดู

 

แม่ทำเพื่อลูกได้ทุกอย่าง ถึงแม้ว่าจะต้องเจอสถานการณ์หนักหนาในชีวิตสักเท่าไหร่ ต่อให้แม่มีความกลัวสักแค่ไหนเพื่อให้ลูกมีชีวิตรอดแม่ยอมทำได้ทุกอย่างเพื่อปกป้องลูกให้ปลอดภัย

เมื่อจนมุมถึงเวลาต้องลุกขึ้นสู้ ในเมื่อสถาณการณ์บางอย่างที่บีบบังคับเรามากจนเกินไปทั้งที่มันไม่ควรจะเป็นเช่นนี้ ความอดทนของคนเรามักจะมีขีดจำกัดการลุกขึ้นสู้เพื่อเอาชีวิตรอดไม่ใช่เรื่องผิด

รีวิวหนัง   

การตัดสินใจแบบไม่มีเหตุผลไม่ดีต่อชีวิต การตัดสินใจบางอย่างก็ควรมีการคิดให้รอบคอบไม่ใช่แต่ว่าตัดสินใจโดยใช้อารมณ์และความคิดของตัวเองเป็นหลักเพราะเมื่อคุณตัดสินใจพลาดไปชีวิตของคุณหลังจานี้ไม่ดีแน่

 

 

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *