รีวิว มิวท์ : mute

รีวิว มิวท์ : mute

รีวิว มิวท์ : mute

 

 

 

Mute เป็นภาพยนตร์นิยายวิทยาศาสตร์แนวนีโอนัวร์ปี 2018  หนังฝรั่ง netflix รัก      ที่กำกับโดยดันแคน     ดูหนังออนไลน์      โจนส์ ผู้เขียนบทร่วมกับไมเคิล โรเบิร์ต จอห์นสัน ภาคต่อของภาพยนตร์เรื่อง Moon ในปี 2009   ดูหนังฟรีนำแสดงโดย Alexander Skarsgård, Paul Rudd, Justin Theroux, Robert Sheehan, Noel Clarke, Florence Kasumba และ Dominic Monaghan

หนังเอ็กคลูซีฟจากเน็ตฟลิกซ์ที่รอบนี้ได้ ผู้กำกับไซไฟอินดี้อย่าง ดันแคน โจนส์ แห่ง Moon (2009) และ Source Code  (2011) มากำกับ ความดีเด็ดดวงคงเป็นบรรยากาศโลกอนาคตแบบไซเบอร์นัวร์ ที่แม้จะได้แรงบันดาลใจมาจากหลายเรื่อง (อย่าง Blade Runner เป็นอาทิ) แต่ก็มีรายละเอียดเป็นตัวเองได้อย่างน่าสนใจหนังแนะนำ

 

 

รีวิว มิวท์ : mute

รีวิว มิวท์ : mute เนื้อเรื่อง

 

รีวิว มิวท์ : mute Mute เป็นเรื่องราวที่ดำเนินไปสองเส้นเรื่อง หนึ่งคือเรื่องของ ลีโอ (อเลกซานเดอร์ สการ์สการ์ด) หนุ่มบาร์เทนเดอร์หล่อล่ำผู้ไม่สนใจเทคโนโลยีใด ๆ เขาเคยประสบอุบัติเหตุในวัยเด็กจนเสียเส้นเสียงไป แต่ด้วยความเชื่อของครอบครัว (น่าจะเป็นลัทธิพยานพระยะโฮวา) ทำให้ไม่อาจผ่าตัดรักษาและกลายเป็นใบ้ในที่สุด เขาคบสาวเสิร์ฟแสนสวยอย่าง นาดิราห์ (เซเน็บ ซาเลห์) ด้วย แต่วันหนึ่งเมื่อเธอหายตัวไป เขาก็พบว่าเธอมีความลับซ่อนไว้มากกว่าที่เขารู้นัก และเส้นเรื่องของ ลีโอ ก็คือการไล่ล่าว่าเธอหายและไปไหน เกิดอะไรขึ้นกับเธอ และอะไรบ้างที่เธอปิดบังเขาอยู่หนังแนะนำ

 

 

อีกเส้นเรื่องเป็นเรื่องของคู่หูหมอเถื่อนอย่าง แคกตัส บิลล์ (พอล รัดด์) และ ดั๊ก (จัสติน เทอรู) ที่ให้บริการทางการแพทย์แก่ธุรกิจใต้ดิน ซึ่งโลกของพวกเขาวนเวียนอยู่รอบ ๆ เส้นเรื่องแรกของลีโออย่างไม่รู้ตัว และเรื่องราวก็จะมาบรรจบกันในตอนท้ายอย่างบีบหัวใจ

 

รีวิว มิวท์ : mute

 

 

จุดเด่นของหนัง

อย่างที่บอกว่าจุดเด่นคงเป็นจิตนาการโลกอนาคตแบบที่สมจริง ทำให้นึกถึงความเรียบง่ายเหมือนโลกปัจจุบันแต่มีของล้ำ ๆ แบบเนียน ๆ อย่างหนังเรื่อง Her (2013) ในขณะที่ความเป็นไซเบอร์นัวร์ก็ถ่ายทอดผ่านโลกอบายมุขยามค่ำคืน ทั้งด้านภาพ การใช้แสงไฟ รวมถึงเรื่องราวที่ว่าด้วยความลับและอาชญากรรมด้วย อีกประการคงเป็นการรวมดาราดัง ๆ ให้มารับบทบาทที่แตกต่างที่เราคุ้นเคย อย่าง พอล รัดด์ ที่มาไว้หนวดเคราเข้ม เป็นหมอเถื่อนสุดกักขฬะแต่ก็รักลูกสาวสุดใจ หรือสการ์สการ์ด ที่ปกติจะจำภาพเขาในหนังแอคชันเสียส่วนใหญ่ ก็ได้โชว์สกิลการสื่อสารโดยไม่ใช้เสียงพูด และที่น่าจดจำอีกคนคงไม่พ้น เทอรู ที่ถ่ายทอดความโรคจิตออกมาทะลุผิวหนังเลยทีเดียว นอกจากนี้การตีความเรื่องความรักของพ่อแม่ต่อลูกที่ใช้คอนทราสต์ระหว่างครอบครัวของลีโอ กับครอบครัวของแคกตัสก็ชวนให้ครุ่นคิดอย่างน่าสนใจมากครับ

 

แต่แม้จะมีจุดแข็งที่น่าจะพัฒนาได้สุดทางอารมณ์หนังนัวร์ แต่หนังกลับไม่มีส่วนใดที่น่าจดจำนัก ด้วยเพราะความบีบคั้นและการเฉลยความลับที่ไม่รุนแรงพอ บางคนน่าจะเดาส่วนหลักอย่างการหายไปของนาดิราห์ได้ตั้งแต่กลางเรื่องแล้วด้วย นอกจากนั้นความเป็นโลกอนาคตก็ไม่ได้ถูกใช้ประโยชน์กับเนื้อหานัวร์ของหนังเลย คือเปลี่ยนฉากเป็นโลกปัจจุบันก็เล่าเรื่องได้สมบูรณ์เช่นเดิมครับ ก็น่าเสียดายทีเดียวที่อุตส่าห์ทำเป็นไซเบอร์นัวร์ทั้งที

 

รีวิว มิวท์ : mute

 

 

การดำเนินเรื่อง

Mute เป็นภาพยนตร์แนว Sci-Fi ผลงานของ Duncan Jones และเขียนบทเรื่องนี้ร่วมกับ Michael Robert Johnson ว่าด้วยตัวละครหลัก บาร์เทนเดอร์ที่ประสบอุบัติเหตุ และปมวัยเด็กด้วยสาเหตุของครอบครัว ชาว อามิช (Amish) ที่แสนเคร่งที่ชื่อว่า Leo (Alexander Skarsgård) ทำให้เขาไม่สามารถพูดออกมาได้แต่สามารถสื่อสารเข้าใจ และใช้การเขียนโต้ตอบกับคนอื่นๆ

 

 

โดยเฉพาะหญิงสาวที่เค้ารักอย่าง Naadirah (Seyneb Saleh) ชีวิตแสนปกติก็ดำเนินไปอย่างเรียบง่ายของทั้งคู่จนกระทั่งวันหนึ่งที่เกิดเรื่องที่บาร์ เป็นเหตุให้ Naadirah หายตัวไปอย่างลึกลับ พร้อมส่งสัญญาณปริศนาทิ้งไว้ต่างหน้า  Extinction Netflix

 

Leo จึงออกไปสืบหาความจริงว่าหญิงสาวที่เขารักหายไปไหน ซึ่งในสถานการณ์นี้ได้โยง Leo ให้เข้าไปพัวพันกับ อดีตทหาร US ที่ต้องการออกจากประเทศนี้อย่าง Cactus Bill (Paul Rudd) ชายผู้หยิ่งยโส และเพื่อสนิทของเขา Duck (Justin Theroux) ที่เกี่ยวข้องกับการหายตัวไปของหญิงสาวที่เขารัก และการถลำไปสู่ ธุรกิจมืด เซ็กส์ ยา และวงจรอุบาทว์ในโลก Sci-Fi แสงสีเจิดจ้าและหม่นหมอง

 

 

ว่าด้วยเรื่องไซเบอร์พังค์ (Cyber Punk) – ต้องบอกตามตรงว่า Mute ได้อิทธิพลของยุค 80-90 Chroma Colors และ Blade Runner เข้าเต็มๆ Duncan Jones เลือกที่จะฉีกกฏของการสร้างโลกตัวเองแบบที่ Neil Blomkamp สร้างไว้ เขาเลือกที่จะเดินตามองค์ประกอบศิลป ไฟท์บังคับของฉาก Cyber Punk Theory นั่นคือ คุณภาพชีวิตที่แสนตกต่ำ ในโลกที่ล้ำเทคโนโลยี กับชุดสีม่วง ฟ้า ทำ contrast บนเนื้อหา Noir เหมือนหยิบนิยายของ Phillipe K. Dick มาเล่าเรื่อง  Iboy netflix

 

 

ว่าด้วยเรื่องของ Mute ความเงียบ จะเห็นว่าตัวละครในหนังเรื่องนี้จะไม่พูดอยู่นั้นมี 2 คนคือ Leo และ Josie (ลูกสาวของ Cactus) ทั้ง 2 ตัวละครเดินอยู่บนเส้นทางที่เงียบตามวิถีของตัวเอง เพราะทั้งคู่มีชะตากรรมเดียวกันคือชีวิตที่ถูกบีบบังคับบนโลกที่น่ากลัว และกลุ่มคนที่ไร้เหตุผลหยาบคายและความรุนแรง Leo เลือกที่เรียนรู้บนโลกของผู้ใหญ่ผ่านการตัดสินใจของตัวเอง พร้อมที่เปลี่ยนวิถีชีวิตของตัวเองโดยรู้ดีว่าการกระทำของเขานั้นจะทำให้เกิดอะไร แต่สำหรับ Josie เธอเงียบก็เพราะเธอยังคงเป็นเด็กหญิงธรรมดาที่ยังต้องการใครสักคนปกป้องเธอจากโลกความเป็นจริงอันแสนโหดร้าย Mute เป็นศัพท์ที่เรียกว่าการปิดเสียง ซึ่งความหมายของ Mute ในเรื่องนี้อาจจะไม่ชัดเจนในการพยายามเล่าเรื่องของ Duncan Jones มากนัก ยังไงก็ตามนอกแม้แกนเรื่องแสนธรรมดาของ Mute ที่อาจจะเพราะเป็น Netflix Original ผลิตซึ่งก้แป๊กมาหลายเรื่องอยู่พอดูทั้งที่มีดาราระดับแม่เหล็กมาเล่นให้ผ่านสตรีม

 

 

องค์ประกอบศิลปสไตล์ Cyber Punk เรื่องราวอันมืดมิดสไตล์ Noir ซ้ำยัง Dark สุดๆ กับการเลือกให้ Leo เป็นอามิชที่เหมือนหลงยุคมาจากสมัยอดีต ก็พอเป็นเสน่ห์ที่ทำให้เรื่องราวพอดำเนินไปได้ซึ่งมีดีกรีเบื่อเล็กๆ สำหรับ Cactus เองก็เป็นตัวละครที่มิติของเขาดูจะซับซ้อน และภายหลังของเรื่องก็ยัดเอาความดราม่าประดิษฐ์ใส่เข้าไปจนเกินพอดี ซึ่ง Duck เองก็เหมือนกันเช่นเหตุผลในตอนท้ายว่าเขาทำไปทำไม?  Mirage Netflix

 

ดนตรีสังเคราะห์ และการเหลาไม้แกะสลักไปไล่ฟาดเอาคืนธุรกิจมืด ภายใต้แสงสีไซเบอร์พังค์ คงเป็นเสน่ห์เดียวล่ะมั้งที่ทำให้ Mute ยังคงดำเนินต่อไป ยังไงก็ตามก็คงต้องยืนยันคำเดิมว่า ผมอาจจะคาดหวัง Duncan Jones จากงานเก่าๆ มากเกินไป

 

 

ภายใต้ความเป็นหนังนีโอ-นัวร์, ไซ-ไฟของ Mute ก็คือหนังโรแมนติค ที่ว่าด้วยการตามหาคนรักสาวเสิร์ฟในคลับที่หายตัวไปทั่วกรุงเบอร์ลินในโลกอนาคตของลีโอ หนุ่มเอมิชที่เป็นพูดไม่ได้เนื่องจากอุบัติเหตุตั้งแต่เยาว์วัย ที่เติบโตมากลายเป็นบาร์เทนเดอร์ในคลับเดียวกัน ที่พนักงานบางคนทั้งชายและหญิงแอบทำงานเป็นโสเภณีเพื่อหาลำไพ่พิเศษ ซึ่งนำไปสู่เรื่องราวมากมายที่ขยับขยายใหญ่โตกินวงกว้างมากขึ้นไปเรื่อยๆ ในโลกด้านมืดของยุคนั้น  What Happened to Monday Netflix

 

 

 

รวมไปถึงทำให้ลีโอได้รับรู้ความจริงที่ นาดิราห์ คนรักของเขาปิดบังมาโดยตลอด เช่นเดียวกับความลับของตัวละครอีกหลายรายที่เกี่ยวพันทั้งทางตรงและทางอ้อมกับเธอ

 

หนังได้พล็อตที่น่าสนใจ ที่สามารถทำให้หนังกลายเป็นงานโรแมนติคที่มีสไตล์เฉพาะตัว หรือหนังนัวร์ๆ ที่มีด้านที่อ่อนโยนผสม นักแสดงก็ได้มือดีๆ

 

อย่าง อเล็กซานเดอร์ ซาร์สการ์ด, พอล รัดด์ และจัสติน เธอโรกซ์ มาเล่น โครงเรื่องก็วางจังหวะการสร้างและคลี่คลายปมเป็นระยะๆ ทำให้น่าติดตามและน่าค้นหา เพราะเมื่อตัวละครเหมือนจะพบทางออก กลับกลายเป็นว่าสิ่งที่เจอก็แค่นำไปสู่ปมใหม่ๆ ให้สืบสาวต่อ ซึ่งพาตัวเรื่องไปลึกมากขึ้นในโลกอาชญากรรมที่ทุกอย่างสามารถเกี่ยวพันกันได้หมด และอีกเรื่องราวหนึ่งซึ่งถูกเล่าเป็นคู่ขนาน ว่าด้วยหมอเถื่อนหนีทหาร ที่พยายามพาตัวเองกับลูกสาวหนีกลับไปที่อเมริกา ไปๆ มาๆ ก็เกี่ยวพันกับสิ่งที่ลีโอค้นพบหรือหาคำตอบอย่างแยกไม่ออก

 

รีวิว มิวท์ : mute หนังมีซับมีซ้อน มีหักมุม

 

รีวิว มิวท์ : mute บรรยากาศหรือโทนของหนังเองก็มาดี ในบรรยากาศของโลกอนาคตที่เห็นปุ้บรู้ปั้บว่าได้รับอิทธิพลมาจากหนัง Blade Runner มาเต็มๆ ไม่ว่าจะเป็นถนนที่เต็มไปด้วยความชื้นแฉะ ผู้คนที่หนาแน่น ป้ายไฟมากมายเต็มเมือง (ที่พัฒนาจากไฟนีออนในหนังต้นแบบ มาเป็นไฟแอลอีดี ตามเทคโนโลยีที่เปลี่ยนไป) การเล่าเรื่องก็ไปแบบเนิบๆ ตามสไตล์งานไซ-ไฟขายบรรยากาศ ที่ในช่วงแรกๆ อาจจะเป็นข้อดี แต่เมื่อตัวเรื่องงวดลงเรื่อยๆ และความเข้มข้นของเหตุการณ์เพิ่มมากขึ้น หนังกลับตกม้าตายง่ายๆ เมื่อไม่สามารถทำให้อารมณ์ของผู้ชมตื่นเต้นไปกับข้อมูลที่ถูกป้อนให้ได้สำเร็จ เมื่อจังหวะของหนังยังคงเป็นไปในแบบที่เคยเป็น ไม่ได้เร่งเร้า กดดัน หรือบีบความรู้สึกของผู้ชม

 

สรุปภาพรวม

โดยรวมเป็นงานจากผู้กำกับที่เราคาดหวังไว้มากกว่านี้ ดูเป็นงานพักมือหลังจากเป๋จาก Warcraft  (2016) ที่ดูมีความส่วนตัวสูงในแง่ประเด็นความเป็นพ่อแม่ (เห็นได้จากคำอุทิศแด่พ่อแม่ของโจนส์ตอนเครดิตท้ายเรื่อง) แต่ก็เป็นแค่หนังไซไฟที่พอดูเพลิน ๆ ไม่ถึงกับน่าจดจำทั้งความเป็นไซไฟ และนัวร์ครับ

 

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *