รีวิวหนัง the theory of everything

รีวิวหนัง the theory of everything

รีวิวหนัง the theory of everything

 

 

 

 

หนังเนื้อดี based on true stories ของ Stephen Hawking นักจักรวาลวิทยา (Cosmology) ผู้มีชื่อเสียงอันดับต้นๆ ของโลก หนังฝรั่ง netflix รัก      และเป็นผู้เขียนหนังสือ “A Brief History of Time: From the Big Bang to Black Holes” (ปัจจุบันเขายังคงมีชีวิตอยู่ ด้วยวัย 70 ปีต้นๆ)  ดูหนังฟรี 

 

The Theory of Everything    ดูหนังออนไลน์        ดัดแปลงบทจากหนังสือ “Travelling to Infinity: My Life with Stephen“ ของ Jane Hawking ภรรยาคนแรกของ Stephen Hawking โดย Anthony McCarten และกำกับภาพยนตร์โดย James Marsh

 

 

รีวิวหนัง the theory of everything เรื่องย่อ 

 

รีวิวหนัง the theory of everything ในหนังเรื่อง The Theory of Everything เริ่มเล่าเรื่องตั้งแต่ช่วงปี 1963 ซึ่งเป็นปีที่ Stephen Hawking ในวัย 21 ปี (Eddie Redmayne จาก Les Misérables และ My Week with Marilyn) กำลังศึกษาด้านฟิสิกส์อยู่ที่ University of Cambridge หนังแนะนำ

 

เขาได้พบรักกับ Jane Wilde (Felicity Jones จาก The Amazing Spider-Man 2) นักศึกษาคณะศิลปศาสตร์ด้านกวีสเปนและฝรั่งเศส ก่อนที่เขาจะล้มกระแทกพื้นหน้า Trinity Hall และพบว่าตัวเองป่วยเป็นโรค **motor neurone disease ซึ่งเป็นโรคที่จะทำให้เซลล์ประสาทและกล้ามเนื้อของเขาเสื่อมลีบและใช้การไม่ได้หนังแนะนำ

 

 

**เป็นโรคจำพวกเดียวกับโรค ALS ที่พวกเราฮิตๆ ทำ “the ice bucket challenge” กันเมื่อปี 2014

 

 

 

โรคที่สตีเฟ่นต้องเผชิญ

โรคของสตีเฟ่นนั้นมีชื่อว่า โรคเซลล์ประสาทสั่งการเสื่อม หรือเรียกง่าย ๆ ว่า โรคกล้ามเนื้ออ่อนแรง ซึ่งทำให้เขาเริ่มควบคุมอวัยวะส่วนต่าง ๆ ในร่างกายไม่ค่อยได้ และมันก็จะเสื่อมสภาพไปตามกาลเวลา โดยหมอบอกว่าเขาอาจจะมีชีวิตอยู่ได้อีกเพียงไม่นาน

อาการของโรคนั้นเริ่มทำร้ายเขาหนักขึ้นทุกที ทั้งอาการสั่นที่มือทั้งสอง ทำให้การเขียนของเขานั้นยากลำบากและไม่เป็นภาษา การควบคุมร่างกายเริ่มไม่เป็นอย่างที่คิด จากเดินติดขัดจนต้องมีใช้ไม้เท้าพยุงและลงท้ายด้วยการเดินไม่ได้จนต้องนั่งรถเข็น และในภายหลังเกิดบางเหตุการณ์ที่ทำให้เขาต้องสูญเสียความสามารถในการพูดสื่อสารไป แต่ก็ได้เครื่องมือชนิดที่สามารถเปลี่ยนตัวอักษรจากปลายนิ้วเขาให้เป็นเสียงพูดได้

 

Stephen พยายามกีดกันหญิงคนรักออกจากชีวิต เพราะเขากำลังกลายเป็นคนพิการที่มีอายุอยู่บนโลกได้เพียง 2 ปีเท่านั้น แต่ Jane พิสูจน์ความรักที่มีต่อนักวิทยาศาสตร์หนุ่ม โดยการหมั้นกับเขาในเดือน ต.ค. 1964 และแต่งงานกันวันที่ 14 ก.ค. 1965

 

Stephen อยู่ได้นานกว่าที่หมอคาดคะเน ต่อมาเขากับ Jane Hawking มีลูกด้วยกันทั้งหมด 3 คน ได้แก่ Robert (1967), Lucy (1970), และ Timothy (1979) ตามลำดับ (แน่นอนว่าโรค MND ไม่มีผลต่อสมองและส่วน “นั้น” ของร่างกาย ยังคงทำ thesis ได้ และปั๊มลูกได้ปกติ)  the theory of everything ดูได้ที่ไหน 

 

ลำพังแค่ดูแล Stephen คนเดียว Jane ก็อาจจะพอไหวอยู่ แต่พอมีลูกเล็กๆ ที่ต้องดูแลไปด้วย และต้องทำวิทยานิพนธ์ไปด้วย เธอก็เริ่มเหนื่อยล้าและเครียดกับชีวิตที่เธอเคยคิดว่าไหว แม่ของเธอแนะนำให้เธอลองไปร่วมวงร้องเพลงประสานเสียงในโบสถ์ และนั่นเป็นจุดเริ่มต้นพาเธอไปรู้จักกับ Jonathan Hellyer Jones (Charlie Cox จาก Stardust) พ่อม่ายหนุ่มหล่อที่เข้ามาช่วยดูแลครอบครัว Hawking

 

 

รีวิวหนัง the theory of everything

 

 

 

ในปลายปี 1977 Jane กับ Jonathan แอบมีใจให้กันอย่างลับๆ Jonathan กลัวคนสงสัย กลัวทำให้ Jane เสียหาย และทำให้ครอบครัว Hawking มีปัญหา เขาจึงยอมถอยออกไป แต่ Stephen ไปขอร้องให้เขากลับมาช่วย Jane

 

ต่อมา Stephen ป่วยหนัก มีโรคปอดอักเสบแทรกซ้อน ต้องผ่าตัดหลอดลม ทำให้เขาพูดไม่ได้อีกตลอดชีวิต ต้องจ้าง Elaine Mason (Maxine Peake) พยาบาลผู้มีประสบการณ์มาช่วย Jane ดูแล Stephen ที่บ้าน และซื้อรถเข็นไฟฟ้าแบบที่มีเครื่องคอมพิวเตอร์ชื่อ “Equalizer” จาก Walt Woltosz เป็นตัวช่วยพิมพ์และพูดความคิดไว้ให้ Stephen ใช้งานเพื่อการสื่อสารและเพื่อการทำงาน โดยเฉพาะการเขียนหนังสือในตำนาน “A Brief History of Time: From the Big Bang to Black Holes” สำหรับเจ้าเครื่องนี้ Stephen ออกปากเลยว่ามีประโยชน์ต่อเขามากๆ

 

 

tephen กับ Jane แยกกันอยู่ในปี 1990 และหย่าร้างกันในปี 1995 Stephen ไปแต่งงานใหม่กับ Elaine Mason (แต่ต่อมาหย่ากันอย่างเงียบๆ ในปี 2006) ส่วน Jane ก็แต่งงานกับ Jonathan ในปี 1997 โดย Stephen กับ Jane ยังคงเป็นเพื่อนที่ดีต่อกันจนถึงปัจจุบัน ช่วยกันรับผิดชอบดูแลลูกทั้ง 3 และมีหลานด้วยกันอีก 3 คน

 

 

 

รีวิวหนัง the theory of everything

สรุปภาพรวม

 

เรื่องราวสร้างจากเรื่องจริงของนักฟิสิกส์อย่างสตีเฟน ฮอว์คกิ้งผู้ป่วยเป็นโรค ALS แต่ยังคงค้นพบเรื่องรางใหม่ๆให้กับวงการวิทยาศาสตร์ ในหนังเรื่องนี้เป็นเรื่องราวของเขากับคนรัก เจน ที่ผดุงชีวิตคู่กันมาตั้งแต่เขายังไม่ป่วยจนเริ่มแสดงอาการ

เป็นอีกเรื่องที่ดังพอสมควรนะคะ และเราก็ค่อนข้างคาดหวังหลายๆอย่างจากหนังเรื่องนี้เหมือนกัน ด้วยความที่เป็นตัวเต็งจากการเข้าชิงรางวัลออสการ์ในปีนั้นด้วย แต่สุดท้ายแล้วก็ต้องผิดหวังหน่อยๆค่ะ เพราะสำหรับเราหนังค่อนข้างน่าเบื่อเลยแหละ    the theory of everything เรื่องย่อ

เรื่องก็เปิดมาตั้งแต่สตีเฟนยังเรียนมหาวิทยาลัย ได้เจอเจน รักกัน อาการของโรคเริ่มออก แต่ทั้งคู่ก็ยังคงแต่งงานกันจนปัญหาเริ่มเกิด เจนต้องเลี้ยงทั้งลูกและดูแลสตีเฟนที่อาการแย่ลงเรื่อยๆ ความเหนื่อยสะสมกลายเป็นปัญหาเรื้อรังในชีวิตคู่
ที่ดีที่สุดในเรื่องนี้น่าจะเป็นการแสดง ทั้งของเอดดี้ เรดเมย์นที่รับบทเป็นสตีเฟน และเฟเลซิตี้ โจนส์ที่รับบทเป็นเจน คือมันดราม่ามากเลยและทั้งคู่ก็เบ่นเข้ากันได้ดีมาก สตีเฟนแสดงได้เหมือนเป็นผู้ป่วยจริงๆจนได้รางวัลไป ส่วนเฟเลซิตี้ก็สามารถเล่นตอบโต้กับเอดดี้ได้เป็นอย่างดี และเรื่องมันดูเป็นหนังรักดราม่าได้ก็เพราะการแสดงของทั้งสองคนนี้แหละค่ะ

 

รีวิวหนัง the theory of everything

รีวิวหนัง the theory of everything ความรู้สึกหลังดู

 

รีวิวหนัง the theory of everything  สิ่งที่เราชอบอย่างนึงในหนังเรื่องนี้คือ “ภาพ” ไม่ว่าจะเป็นซีนที่ใส่ filter สีเก่าๆ หรือใส่ noise ให้ภาพเยอะๆ สำหรับซีนที่เป็นเสมือนซีนแห่งความทรงจำในภาพถ่ายหรือวิดีโอของ Hawking เช่น ซีนแต่งงาน เป็นต้น มันเป็นเสน่ห์อย่างหนึ่งที่ทำให้หนังน่าจดจำขึ้นไปอีก

 

แต่ด้านภาพที่ชอบมากที่สุด คือมีการใช้ภาพในเชิงอุปมาอุปไมยเปรียบเทียบกับจักรวาล กาแล็กซี หลุมดำ บิ๊กแบง ฯลฯ ถ้าเราสังเกตดูดีๆ หลายซีนในหนังมีความเชื่อมโยงหรือเกี่ยวข้องกับ “วงกลม” หรือ “การวนลูป”   the theory of everything พากย์ไทย

 

เช่น พระนางจับมือกันสองข้างแล้วหมุ้นหมุนเป็นวงกลมอย่างลัลล้า พระนางเล่นม้าหมุนในงานเมย์บอล การใส่ครีมวนๆ ในถ้วยกาแฟเหมือนทางกาแล็กซี การมองเตาผิงไฟผ่านรูเสื้อไหมพรมถักเทียบกับหลุมดำในจักรวาล บันไดวนๆ ที่นางเอกเดินขึ้นที่ Cambridge ก็ให้ฟีลเหมือนกาแล็กซีแบบสไปรัล ฯลฯ (หรือจะนับล้อรถเข็น กับการปั่นจักรยานไปอีกด้วยก็ได้ตามอัธยาศัย เพิ่มระดับการมโน)

 

ทั้งนี้ คงเฉกเช่นเดียวกับเวลาบนหน้าปัดนาฬิกา ที่พอครบรอบก็กลับมาที่จุดเดิมใหม่ หรือจะเฉกเช่นเดียวกับทฤษฎีบิ๊กแบงของจักรวาล ที่พอระเบิดหรือดับแล้ว แต่ไม่สูญ เพียงแค่กลับไปเริ่มใหม่ที่ศูนย์ วนลูป วนลูป และวนลูป กลับไปเริ่มต้นใหม่ที่เดิม แบบนี้เรื่อยๆ เรื่อยๆ และเรื่อยๆ นี่จึงอาจจะเป็นคำตอบ (เดา) ว่าทำไมหนังจึงพยายามถ่ายทอดภาพต่างๆ โดยมีวงกลมเป็นสื่อ   the theory of everything ซับไทย

 

ตอนจบของหนัง

 

ตอนท้ายหนังก็จบลงแบบที่ไม่สุขมาก แต่ก็ไม่เศร้าเสียเท่าไร จัดว่าเป็น happy ending ในระดับหนึ่งเลยทีเดียว ซึ่งในชีวิตจริง สตีเฟ่นเพิ่งเสียชีวิตลงในเวลาไม่นานมานี้ด้วยวัย 76 ปี ถ้ามันไปตามที่หมอพูดคงนับได้ว่า 2 ปีที่เหลืออยู่ในตอนนั้นช่างยาวนานเสียเหลือเกิน !

 

สั้นๆ ง่ายๆ ถึงแม้เรื่องจะเอื่อยบ้างในบางช่วง ตามประสาหนังรัก และหนังอัตชีวประวัติ แต่รวมๆ แล้ว เราว่า แค่ได้ไปดูการแสดงของพระนาง แค่นี้ก็คุ้มแล้ว อินน้ำตาซึมเลยจริงๆ

 

 

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *